WALTER
WALTER MITTY (2013) ตามหาความงดงามของชีวิตที่หายไป
ออกไป up ออกไป chill ออกไป up skill (มาเป็นเนื้อเพลง)
การมีชีวิตอยู่แต่ในกรอบเดิมๆ และเข้าใจแก่นสำคัญของชีวิตมากขึ้น
การมีชีวิตอยู่แต่ในกรอบเดิมๆ และเข้าใจแก่นสำคัญของชีวิตมากขึ้น
นิตยสาร Life ที่เขาทำงานอยู่
ประกาศปิดตัวฉบับกระดาษเพราะถูกซื้อหุ้นไป
จึงทำให้อีกหนึ่งเดือนข้างหน้านิตยสารจะไปอยู่ในรูปแบบฉบับ Online แทน
ชีวิตของพระเอกจึงตกอยู่ในความเสี่ยง หมายความว่างานของเขาจะถูกลด Priority ลง
จนอาจต้องถูกถอดจากบริษัทในที่สุด
พล็อตเรื่องของหนังหลัก ๆ เน้นไปที่
การตามหาฟิล์มหมายเลขที่ 25 ที่หายไปซึ่งฟิล์มนี้
เป็นแก่นสำคัญของนิตยสารโดยมันจะถูกใช้เป็นภาพปกสุดท้ายของนิตยสาร LIFE ฉบับกระดาษ
ทำให้มิตตี้ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องและต้องรับผิดชอบ
ต้องออกตามหาฟิล์มหมายเลขที่ 25 ที่หายไป
แหละนี้คือจุดเริ่มต้นของ The secret life of walter mitty
ประกาศปิดตัวฉบับกระดาษเพราะถูกซื้อหุ้นไป
จึงทำให้อีกหนึ่งเดือนข้างหน้านิตยสารจะไปอยู่ในรูปแบบฉบับ Online แทน
ชีวิตของพระเอกจึงตกอยู่ในความเสี่ยง หมายความว่างานของเขาจะถูกลด Priority ลง
จนอาจต้องถูกถอดจากบริษัทในที่สุด
พล็อตเรื่องของหนังหลัก ๆ เน้นไปที่
การตามหาฟิล์มหมายเลขที่ 25 ที่หายไปซึ่งฟิล์มนี้
เป็นแก่นสำคัญของนิตยสารโดยมันจะถูกใช้เป็นภาพปกสุดท้ายของนิตยสาร LIFE ฉบับกระดาษ
ทำให้มิตตี้ซึ่งเป็นผู้เกี่ยวข้องและต้องรับผิดชอบ
ต้องออกตามหาฟิล์มหมายเลขที่ 25 ที่หายไป
แหละนี้คือจุดเริ่มต้นของ The secret life of walter mitty
The Secret Life of Walter Mitty จงฝันในวันธรรมดา
“To see things thousands of miles away, things hidden behind walls and within rooms, things dangerous to come to, to draw closer, to see and be amazed.”
Main Idea
- วอลเตอร์ มิตตี ชายหนุ่มที่เปรียบเหมือนเป็นตัวแทนของคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตไปวันๆ โดยปราศจากความฝัน ทุกวันหมดเวลาไปกับการทำงาน กลับบ้าน ได้แต่คอยมองชีวิตคนอื่นที่ออกไปโลดแล่นใช้ชีวิต
- จนวันหนึ่ง มีเหตุการณ์บังคับให้เขาต้องออกเดินทางไปสู่โลกกว้างและในระหว่างการเดินทางนั้นเองที่วอลเตอร์ มิตตีได้รู้สึกว่าตัวเองได้เริ่มใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
ก็ถ้าชีวิตเกิดมาเพื่อแก่ตัวและตายไปเหมือนแมลงบางชนิด ความฝันใดๆ ก็คงไม่จำเป็น แต่มนุษย์มีสิ่งที่แมลงไม่มี นั่นคืออารมณ์และความรู้สึกรู้สา
ไม่มีใครปฏิเสธว่า การดิ้นรนเพื่อปากท้องคือสิ่งจำเป็นอันดับแรกในชีวิต แต่เมื่อประคับประคองไปได้แล้ว อาหารทางจิตวิญญาณก็สำคัญไม่แพ้กัน
วอลเตอร์ มิตตี ชายหนุ่มผู้แสนจะธรรมดา ทำงานอยู่แผนกฟิล์มเนกาทีฟในนิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังมาตลอดชีวิต กิจวัตรประจำวันของเขาก็แค่นั่งเช็คฟิล์มอยู่ในห้องสลัวๆ นั่งดูงานสวยๆ ของเหล่าช่างภาพผู้มีชื่อเสียงออกไปตะลอนโลกกว้าง เพื่อเก็บภาพอันแสนมหัศจรรย์กลับมาในแผ่นฟิล์มเล็กๆ
เขาได้แต่ดู ไม่เคยออกไปไหน หรือวอลเตอร์จะเกิดมาเพื่อตายไปไม่ต่างจากแมลงจริงๆ
กระนั้นวอลเตอร์ก็ยังเป็นมนุษย์เต็มเปี่ยม เพราะสมองส่วนจินตนาการของเขาโลดแล่นจนเกินเชื่อ เขาวาดฝันว่าตัวเองได้ทำอะไรบ้าๆ แปลกๆ หลุดโลกๆ แม้ในชั่วโมงปกติที่สุดในชีวิตประจำวัน พูดง่ายๆ ว่าเป็นวอลเตอร์เป็นชายหนุ่มขี้มโนอย่างน่าสมเพช กระทั่งจะจีบสาวสักคน ก็ยังมโนไม่แล้วไม่เลิก
กระทั่งวันหนึ่ง เหตุการณ์เข้าตาจนได้ชักนำให้วอลเตอร์หยุดมโนแล้วทะยานออกไปสู่โลกกว้าง เพราะเขาจำเป็นต้องหาฟิล์มชิ้นหนึ่งที่ถูกกำหนดให้ขึ้นปกนิตยสารฉบับสุดท้าย วอลเตอร์ต้องสืบหาตัวช่างภาพให้เจอให้ได้ เพื่อนำฟิล์มนี้กลับมา มิเช่นนั้นชีวิตการทำงานของเขาคงจบเห่
แต่ช่างภาพคนที่ว่านั้นอยู่เสียที่ไหน ก็ถ้าเขายังถึงขั้นถ่ายฟิล์มอยู่ แถมตอนส่งข่าวให้กองบรรณาธิการยังใช้โทรเลข การตามหาตัวเขาจึงเป็นปริศนาเสียยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น
และนั่นเองที่เปิดโอกาสให้หนังใส่สถานการณ์สุดอลเวงพาวอลเตอร์ตระเวนไปเสียหลายทวีป ตั้งแต่ภูเขาไฟระเบิดบนเกาะไอซ์แลนด์ ไปจนถึงเทือกเขาสูงในหิมาลัย พบเจอกับสิ่งที่แปลกต่างออกไปอย่างสุดขั้วจากชีวิตหนุ่มห้องมืดอันน่าเบื่อหน่าย
และท้ายที่สุด รูปที่ว่านั้นก็ได้ขึ้นปกนิตยสารฉบับสุดท้ายจริงๆ โดยที่วอลเตอร์ไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันคือรูปอะไร
แต่ขอบอกใบ้ว่าเป็นซีนสุดท้ายที่แสนจะตราตรึง ที่เรา, คนดูและวอลเตอร์, จะได้เป็นประจักษ์พยานพร้อมกัน และน้ำตาซึมพร้อมๆ กันด้วย
ในทุกๆ ฉากชีวิต คนที่มีชื่อเสียงมักยืนอยู่ด้านหน้า แต่ก็ต้องมีอีกหลายชีวิตที่คอยอยู่ข้างหลัง ผลักดันความสำเร็จให้พวกเขาอย่างไม่ย่อท้อ เป็นผู้ที่เรียกได้ว่าปิดทองหลังพระอย่างแท้จริง
กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตาปิดทองโดยไม่รู้สึกรู้สม หากวันหนึ่งที่พวกเขาอยากจะก้าวออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ เพื่อขานรับกับแสงไฟ ชื่อเสียง หรือเกียรติยศใดๆ บ้าง ก็นับเป็นเรื่องที่น่าผลักดันและสนับสนุน หากเขาต้องการเช่นนั้นจริงๆ
เช่นเดียวกับวอลเตอร์ที่มีความใฝ่ฝันอยู่ลึกๆ ที่จะทลาย Comfort Zone ของตนเองออกไป แต่ด้วยหน้าที่การงานและความเป็นจำเป็นที่รัดตัว จึงทำให้เขายังไม่ได้รับโอกาส แต่เมื่อโอกาสมาถึงเขาก็ไม่ลังเลที่จะคว้าไว้
"To see the world. Things dangerous to come to. To see behind walls. To draw closer. To find each other and to feel.That is the purpose of life."
"ท้ามองโลก ดาหน้าสู่อันตราย ส่องหลังกำแพง ใกล้ชิดมากขึ้น ค้นหากันและกัน รู้สึก นั่นคือเป้าหมายของชีวิต"
คำขวัญนี้มันยัดสมองของเรามาตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่อง วอลเตอร์ พนักงานบริษัทแสนธรรมดาๆ มีอาการชอบหลุดโลกบ่อยๆ หรือฝันกลางวัน มันปลูกฝังว่านั่นคือความฝันที่เขาอยากจะทำมัน แต่เพียงแค่เขายังไม่รู้ตัว "ชีวิตประจำวันมันน่าเบื่อ ทำอยู่แต่แบบเดิมซ้ำๆซากๆ" รูปที่ 25 ที่หายไปมันคือจุดเริ่มต้น วอลเตอร์เริ่มออกเดินทางตามหาฌอน ระหว่างการเดินทางได้พบเจอเหตุการณ์ต่างๆมากมายตลอดจนได้เจอกับฌอน และได้รู้ว่ารูปที่25 อยู่กับเขามาตลอด "มันอยู่ข้างใน" ใช่แล้วครับเนื้อเรื่องมันแฝงอะไรมามากมาย สิ่งที่ทำให้วอลเตอร์ได้ค้นพบตัวตันของตัวเอง ไม่ใช่การออกเดินทางไปตามหาตัวตน แต่เพราะตัวตนที่แท้จริงมันอยู่ข้างในต่างหาก อาการหลุดโลกของวอลเตอร์ก็เริ่มจางหายไปแล้ว เพราะฝันกลางวันของเขา เขาได้ทำมันแล้ว To see the world. That is the purpose of life. - "ท้ามองโลก นั่นแหละคือเป้าหมายของชีวิต"
นี่เป็นหนังที่อาจจะดูเกินจริงอยู่บ้างในแง่ของสถานการณ์เหลือเชื่อ คล้ายกับว่าทำขึ้นมาเพื่อตอบสนองแฟนตาซีของเหล่ามนุษย์ปิดทองหลังพระ ที่ถ้าพูดให้ถึงที่สุด ไม่มีวันได้รับโอกาสอันสุดยอดเหมือนวอลเตอร์แน่ๆ ได้แต่จำเจไปกับการงานอันแสนจะเหนื่อยหน่ายเท่านั้น
แต่อย่างน้อยหนังก็มีไว้เพื่อปลอบใจว่าในเนื้องานทุกประเภท ทุกคนทำงานล้วนมีความสำคัญไม่แพ้กัน ต่อให้เป็นฟันเฟืองที่เล็กที่สุด ก็มีไว้เพื่อสนับสนุนเครื่องยนต์กลไกที่ใหญ่ยักษ์ สมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะเชิดชูทุกภาคส่วนไม่ให้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
และที่สำคัญอย่าได้ตั้งข้อกีดกันว่าใครจะมีความสามารถมากหรือน้อยกว่าใครๆ เพราะขึ้นชื่อว่ามนุษย์แล้ว ย่อมมีทั้งสมองที่จะพัฒนาตนเองต่อไปได้อย่างไม่มีขีดจำกัด และมีอารมณ์ ความปรารถนา และไฟฝันที่จะจุดพลังให้ตนเองก้าวหน้าขึ้นไปได้เรื่อยๆ
ไม่ต่างจากวอลเตอร์ที่ขณะทำงานในห้องมืดสลัว ส่องฟิล์มเล็กๆ ที่บรรจุภาพธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ตั้งแต่ใต้ทะเลลึกอันน่าพิศวง ไปจนถึงเหนือฟากฟ้าอันระยิบระยับ สิ่งเหล่านี้ได้จุดประกายความฝันให้เขาอย่างเงียบๆ เป็นเชื้อปะทุไอกรุ่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันโดยที่แม้แต่เขาก็ไม่รู้ตัว รอเวลาและโอกาสที่เหมาะสมที่จะระเบิดโชนแสงออกมา
วอลเตอร์ไม่ต่างอะไรจากเรา หากเรายังมีความฝันอันเร้นลับนั้นอยู่ในชีวิตเสมอ
ฉะนั้นแม้แต่ในวันที่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด ก็อย่าได้หยุดฝันกันเลย

“Beautiful things don’t ask for attention”
ใครที่ Weak หนัก ๆ กับชีวิต ดูเรื่องนี้จบ เราว่าฮึกเหิมขึ้นเลยนะ อาจจะ 100% 50% 20% ขึ้นอยู่กับอารมณ์ที่รับได้จากที่หนังพยายามสื่อออกมา มันทำให้ตะหนักได้ว่าคุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่ไหนหรอก แต่อยู่ที่ตัวเรานี่เองว่าจะเจอมันรู้เปล่า อย่าให้ใครมาตะโกนกดดันบอกว่าเรายังไม่สุดตลอดเวลา ให้ตัวเราเป็นคนให้คำตอบเองจะดีกว่า

The way you choose, the way you are.
และ
– – Stop Dreaming, Start Living – –

















ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น